การแข่งขัน
ความเอื่อเฟื้อที่น้อยลงเพราะมีการแข่งขันกันมาก
ผู้เข้าชมรวม
91
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
การแข่งขัน
ความมืดเข้ามาเยือนเป็นเวลาที่นานโขแล้ว แต่หลายๆชีวิตในเมืองกรุงพึ่งเลิกราจากการคร่ำเครงการงานตามถนนหนทางในหลายๆจุดยังเต็มไปด้วยรถราเนืองแน่นยาวเป็นหลายร้อยเมตร ยิ่งเป็นจุดที่มีผู้คนอยู่อย่างหน่าแน่นเช่นบริเวณหน้ารามแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีกเลย
“มันจะรีบไปตายหรือไงวะ” เสียงของชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งขายของอยู่บนบาทวิถีริมถนนดังไล่หลัง มอเตอร์ไซค์สีดำคันหนึ่งที่พึ่งทยานออกไปด้วยความเร็ว แล้วเพียงชั่วอึดใจ เสียงกระหึ่มอย่างน่าเกรงขามก็ดังขึ้นกลบเสียงของทุกสรรพสิ่งหมดสิ้น กลุ่มควันลอยขึ้นปกคลุมอยู่บนท้องถนน
“ยี่สิบบาทครับ ยี่สิบบาท”
“ทางนี้ถูกๆ ทางนี้เลย”
“ไม่เลือกไม่ซื้อไม่ว่า เพียงแต่แวะมาดูก่อนได้”
พอเสียงรถเริ่มแผ่วลง เสียงของพ่อค้าแม่ค้าก็กลับเข้ามาแทนที่อีกครั้ง
วันนี้ดูผู้คนเหมือนกับจะมากกว่าปกติทุกๆวัน สิ่งของที่พ่อค้าแม่ค้านำมาขายก็ดูเหมือนกับจะแตกต่างไปจากช่วงก่อนหน้านี้อยู่บ้าง
“วันนี้ดูคนมากกว่าปกตินะ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวกับหญิงสาวที่เดินมาด้วย
“อือจริงนะ นี่อันนี้สวยไหม” หล่อนเห็นด้วยกับชายหนุ่ม ก่อนจะดึงมือชายหนุ่มให้มาดูตุ๊กตาหมีตัวหนึ่ง ที่ขนาดใหญ่เท่ากับตัวหล่อน แต่เตี้ยกว่ามาก ขนสีเปลือกไข่เนื้อตัวนุ่มๆ
“สวยดี” ชายหนุ่มตอบ
“ราคาเท่าไหร่ค่ะ”หล่อนถามคนขาย
“ตัวนั้นราคาอยู่ที่ 450 แต่ลดให้ 390 แล้วกัน” แม่ค้าตอบ
“ลดลงอีกไม่ได้หรือค่ะ”
“ไม่ได้แล้วค่ะ นี่ลดให้มากแล้วนะค่ะ ถ้าช่วงปกติลดไม่ได้เลยนะค่ะ นี่ดีช่วงนี้เป็นช่วงใกล้รับปริญญาเลยสั่งของมาเยอะ เขาเลยให้ราคาต่ำลงหน่อย” แม่ค้าตอบด้วยรอยยิ้มของคนอารมณ์ดี
“งั้นเอาตัวนี้นี่แหละค่ะ แล้วผูกโบให้ด้วยนะค่ะ”
ข้าพเจ้ามองดูพวกเขาสองคนแล้วอดนึกถึงช่วงรับปริญญาของเมื่อปีที่แล้วไม่ได้ ข้าพเจ้าเองก็ไม่ต่างกับชายหนุ่มคนนี้เท่าไร วันนี้ของเมื่อปีที่แล้ว ข้าพเจ้าก็มาซื้อตุ๊กตาหมีกับสาวผู้หนึ่งเหมือนกัน แต่หลังจากงานรับปริญญาผ่านไปไม่กี่เดือน วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าโปร่งเหมือนกับทุกๆวัน แต่ดูเหมือนแดดจะแรงกว่าทุกๆวันมากจนข้าพเจ้าแทบไม่อยากออกจากห้อง เป็นวันที่
ทางมหาวิทยาลัยจะประกาศผลสอบ เพื่อนร่วมหอพักจึงชวนลงไปรอดูผลสอบ ไปยังไม่ทันถึงบอร์ดประกาศผล ก็ต้องชะงักอยู่กับที่ เมื่อเพื่อนอีกคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาพร้อมกับเรียกให้เราหยุด เขายังไม่ทันได้พูดอะไร แต่ก็จับมือเพื่อนที่มากับข้าพเจ้าให้วิ่งตามเขาไป
“คื..คื..คือ..”เสียงเขาออกมาได้แค่นั้น แล้วก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาจากไรฟันอีกเลย แต่สีหน้ากลับซีดขาว
เขาลากมือเพื่อนข้าพเจ้าไปจนถึงหน้าตึกสร้างใหม่ตึกหนึ่ง ที่พึ่งเปิดใช้ได้เดือนเดียว ซึ่งบริเวณด้านหน้าของตึกมีผู้คนรุมล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งเสียงร้องไห้ เสียงตะโกนกันไม่ให้ผู้คนมุง และเสียงสนทนาของผู้คน
พอเข้าไปถึง ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือน ขาหนักขึ้นกว่าเดิมจนไม่อาจก้าวออกไปข้างหน้าได้อีก ตาจ้องอยู่กับสิ่งสิ่งหนึ่ง เหงื่อตกเต็มตัว ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกระโดดเข้าไปกอดร่างของหญิงผู้หนึ่งไว้ในอ้อมอก น้ำตาของลูกผู้ชายถึงกับไหลออกโดยไม่รู้ตัว...........................
ในระหว่างที่ข้าพเจ้าอึ้งอยู่นั้น หูพลันได้ยินเสียงของผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังแลกเปลี่ยนอย่างเมามัน
“น่าสงสารนะ ยังเป็นสาวอยู่แท้ๆ”
“นั่นสินะ ไม่น่าเลย แค่พลาดAไปสองเล่มเอง”
“แต่เห็นเขาว่ากันว่าเพราะพลาดสองเล่มนี้นี่แหละทำให้ผลการเรียนแพ้เพื่อนอีกคนในห้อง”
“เห็นเขาว่าโดนกดดันจากทางบ้านด้วยนี่”
“อือใช่ ได้ยินมาแบบนั้นเหมือนกัน”
“นี่แหละหนา มิน่าละเมืองไทยถึงไม่เจริญกับเขาสักที ก็ไอ้เพราะมัวแต่มาแข่งกันเองอย่างนี้นี่แหละ”
“ผมว่าเขาไม่ผิดหรอก มันเป็นเพราะระบบของสังคมมากกว่าที่พยายามยกย่องเชิดชูแต่คนที่เรียนได้เกรดดีๆเรียนได้อันดับหนึ่ง ดูอย่างการรับสมัครพนักงานเข้าทำงานในบริษัทซิ ถ้าได้เกรดดีๆก็จะพิจารณาเป็นพิเศษ หรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐบางหน่วยงานเองก็ยังต้องเลือกเอาแต่เฉพาะคน ที่มีเกียรตินิยมไม่อันดับหนึ่งก็อันดับสองที่มีสิทธิเข้าสอบ”
“เอ่ย...! ไม่ใช่ๆ มันเป็นเรื่องปกติที่บริษัททั่วๆไปจะต้องการคนเก่งไปทำงานในบริษัทของเขาอยู่แล้ว ไม่มีบริษัทไหนอยากได้คนที่ไม่เอาถ่าน โง่ดักดานไปอยู่ในบริษัทของเขาหรอก ขืนเอาเข้าไปบริษัทเขาก็เจ้งกันพอดีที่ว่ามันเป็นเพราะระบบของการประเมินผลการศึกษามากกว่าที่ทำให้สังคมเป็นอย่างนี้”
“เพราะระบบของการประเมินผลยังไง” เสียงของคนผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกับข้าพเจ้าถามขึ้นในขณะที่ผู้พูดกำลังหยุดกลืนน้ำลายลงคอ
“ก็เพราะว่าระบบการประเมินผลมีการแบ่งระดับชั้นเป็นที่หนึ่ง ที่สอง และที่สามไง ถ้าเกิดว่าจัดใหม่ให้มีแค่ผ่านกับไม่ผ่าน ปัญหาเหล่านี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นในสังคมไทย และยิ่งถ้ามีการตั้งเกณฑ์การผ่านไว้สูงซักนิดหนึ่งบรรยากาศการเรียนในห้องเรียนก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นไอของการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน นักเรียนนักศึกษาก็จะเกิดความสมานสามัคคีกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น”
“แล้วอย่างนี้ ถ้าเกิดไม่มีการแข่งขันเพื่อขุดเอาความสามารถของคนออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่แล้วบ้านเมืองจะเจริญได้อย่างไร”
“การที่จะขุดค้นเอาความสามารถของคนออกมาไม่ได้มีอยู่ทางเดียวนะ มันขึ้นอยู่กับการตั้งเกณฑ์การผ่านด้วย สมมุติว่าเราตั้งเกณฑ์ไว้ที่40%ก็ผ่านได้แล้ว มันก็ย่อมแน่นอนว่าคุณภาพที่ได้ออกมาอาจจะไม่สู้ที่อื่นๆแต่ถ้าเราตั้งเกณฑ์การผ่านไว้ที่75%ถึงจะสามารถผ่านได้ คุณลองคิดดูสิว่าคนที่สามารถผ่านได้จะมีคุณภาพขนาดไหน”
“เฮ่ย..!ไอ้น้องขายของสิมัวเหม่ออะไรอยู่” เสียงของชายวัยกลางคนที่ว่าตามมอเตอร์ไซค์ซักครู่ ดังขึ้นข้างๆหูของข้าพเจ้าพร้อมกับฝ่ามือของเขาก็ตบลงบนไหล่ เขายิ้มให้ข้าพเจ้าแล้วก็หันไปมองลูกค้า
หญิงสาวสองคนกำลังพลิกดูหนังสืออยู่หน้าร้าน
“ทำเองเหรอค่ะเล่มนี้”
“ครับ”ข้าพเจ้าตอบ
“มากันอีกแล้วไอ้ห่าเอ่ย”เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นอีกครั้งเมื่อมอเตอร์ไซค์คันเดิมกลับมาติดไฟแดงอยู่ที่เก่า แต่การกลับมาในครั้งนี้ไม่ได้มาคันเดียว แต่ยังมีอีกหลายคันขับตามมาจอดอยู่ใกล้ๆ
สายตาทุกคู่ที่อยู่บนบาทวิถีต่างหันไปทางเดียวกัน จับจ้องอยู่บนมอเตอร์ไซค์
ผลงานอื่นๆ ของ กูย กลางดง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ กูย กลางดง
ความคิดเห็น